More

    รีวิว MG HS PHEV “รถปลั๊กอินหน้าตาดี ราคาโดน..ข้อเสียมีแต่ไม่มาก” ใครเล็งอยู่ลองดูก่อน!! (มีคลิป)

    กลับมาพบกันอีกครั้งกับการรีวิวรถยนต์ แบบเจาะลึกถึง 5 จุดเด่น/จุดด้อยของรถแต่ละคันว่ามีตรงไหนน่าสนใจและดีจนต้องชมหรือเห็นแล้วขัดตาจนต้องติบ้าง วันนี้เราเกาะกระแสรถพลังงานทางเลือก ที่เป็นกระแสที่สุดตอนนี้ อย่าง NEW MG HS PHEV รถไฮบริดแบบเสียบปลั๊กล่าสุดจาก MG ดูสิว่าจะเจ๋งแค่ไหน

    MG HS PHEV เป็นยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid มีพละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร จากขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร มีระบบเกียร์แบบ EDU II – 10 Speeds ที่ใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์เพียง 0.2 วินาที ตอบสนองได้อย่างทันใจ และเพิ่มความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ภายในเวลา 7.5 วินาที มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco โหมด EV และโหมด Sport เสริมด้วยปุ่ม Super Sport ที่สามารถเพิ่มประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น

    แบตเตอรี่ที่ใช้ใน MG HS PHEV เป็นแบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล โดยมีขนาดใหญ่ถึง 16.6 kWh ทำให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการสะสมพลังงานได้มากกว่าจึงวิ่งได้นานขึ้น รวมถึงการทำระยะทางได้มากขึ้น โดยสามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% สูงสุดถึง 67 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง และยังมีมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 65 กม.ต่อลิตร และมีการปล่อยค่าไอเสีย หรือคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 36 กรัมต่อกิโลเมตร นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยีในมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hairpin Design ทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถดึงสมรรถนะของการส่งกำลังและลดอัตราการสูญเสียพลังงานได้ดียิ่งขึ้น พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Coolant ซึ่งดีกว่าระบบระบายความร้อนแบบปกติ ทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจและปลอดภัยในการขับขี่ด้วยแบตเตอรี่ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก AMERICAN UL2580 และผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น

    MG HS PHEV ชาร์จด้วยไฟ AC โดยใช้อุปกรณ์ชาร์จไฟที่ติดตั้งภายในบ้านหรือตู้บริการชาร์จไฟเอกชน ชาร์จไฟเต็มใช้เวลา 4.4 ชม. ส่วนการชาร์จไฟด้วย Adapter ที่ติดมากับตัวรถซึ่งจ่ายไฟ 2.3 kWh ชาร์จไฟเต็มใช้เวลา 7.3 ชม.

    Design&Interior

    MG HS PHEV มีดีไซน์ภายนอกที่ถอดแบบพาจาก MG HS ตัวท็อป ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมสำหรับเวอร์ชั่นปลั๊กอิน ตั้งแต่ล้ออัลลอยลายใหม่ ฝาช่องสำหรับเสียบชาร์จไฟที่ฝั่งขวา ไปจนถึงโลโก้ PHEV ที่ด้านท้ายรถที่บ่งบอกว่านี้เป็นรถพลังงานทางเลือกแบบ Plug-in

    MG HS PHEV  ตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยสี 2-Tone Monaco Blue พร้อมวัสดุผิวสัมผัสนุ่มแบบ Soft Touch เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat โอบกระชับ มีห้องโดยสารเงียบยิ่งขึ้นจากการเพิ่มฟิล์มกันเสียงและแผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสาร หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) ขนาดใหญ่ 1.1 ตารางเมตร เพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง พร้อมเสริมความสะดวกสบายในการขับขี่ด้วยหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ 10 นิ้ว ระบบเสียงเหนือระดับด้วย BOSE 8.1 Sound System รวมถึงระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART รองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย

    Safety&Feature

    MG HS PHEV มีระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System กว่า 25 ระบบ โดยแบ่งออกเป็นระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุที่ช่วยทั้งเรื่องระบบเบรก และช่วยรักษาเสถียรภาพในการขับขี่ จำนวน 14 ระบบและระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) หรือระบบช่วยควบคุมการ ขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน 11 ระบบ คือ ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)สำหรับระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) ถือเป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ทำงานโดยทันที คือ ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)

    5 จุดเด่น MG HS PHEV

    MG HS PHEV เป็นรถปลั๊กอินไฮบริดที่ราคาถูกที่สุด และออฟชั่นเยอะที่สุดในตอนนี้ ค่าตัว 1.359 ล้านบาท ราคานี้จะซื้อรถซาลูนสักคันยังยาก ยิ่งถ้าเป็นปลั๊กอินยิ่งหมดสิทธิ์ คันที่ถูกที่สุดก็ C300e ต้องมี 2.5 ล้านอัพ ยิ่งถ้าเป็น SUV แล้ว 2 ล้านขึ้นเกือบทุกคัน แบบนี้จะไม่ให้มัน Hot ได้ยังไงไหว

    ภายในหรูหราและทันสมัยมากขึ้น เมื่อเทียบกับ HS รุ่นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นมาตรวัดใหม่แบบ full digital ขนาด 12 นิ้ว คันเข้าเกียร์แบบไฟฟ้า ที่ใช้ง่ายแค่ผลักขึ้น/ลง เครื่องเสียงที่มาพร้อม ลำโพง bose 8 ตัวและซับวูฟเฟอร์อีก 1 ตัว ที่ด้านหลังรถ และจอกลางยังเพิ่มฟีเจอร์แสดงค่าการชาร์จมาให้อีกด้วย

    MG HS PHEV ให้สมรรถนะในการขับขี่ เรียกได้ว่าดึงดีทุกโหมด ด้วยพละกำลังที่สูงถึง 284 แรงม้า 480 นิวตันเมตรจาก 2 ต้นกำเนิดพลัง คือ เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบบล็อกเดิมจาก HS กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟจากแบตฯ 6 โมดูลขนาด 16.6 kwh ซึ่งถือว่าใหญ่มาก เมื่อเทียบกับรถปลั๊กอินทั่วๆไป ส่งกำลังผ่านเกียร์ 10 สปีดโดยแบ่งเป็นฝั่งเครื่องยนต์ 6 เกียร์ และฝั่งมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 4 เกียร์ ให้อัตราเร่งที่สนุกเร้าใจ โดยมีโหมดการขับขี่ ให้เลือกถึง 5 โหมด ต่างจากรุ่นน้ำมัน คือเพิ่มโหมด EV มาให้สำหรับขับด้วยไฟฟ้าล้วน ที่ MG เคลมไว้ว่าวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียวได้ไกลที่สุดถึง 67 กม.

    จากที่ได้ลองขับตั้งแต่โหมด EV  ที่ให้แรงดึงดีตั้งแต่ออกตัวด้วยแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 230 นิวตันเมตร แบบไม่ต้องรอ โดยระบบจะพยายามใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าคุณจะบดคันเร่งขนาดไหนก็ตาม เว้นแต่กำลังไฟจะเหลือต่ำมากเครื่องยนต์จึงจะติดขึ้น หากขับในโหมด Eco หรือ Normal รถจะออกตัวด้วยไฟฟ้าเป็นหลัก แต่ Eco จะเน้นใช้ไฟฟ้ามากกว่า เพื่อประหยัดน้ำมัน ส่วน Normal เครื่องยนต์จะติดบ่อยกว่าเพื่อประหยัดแบตเตอรี่

    ส่วนโหมด Sport เครื่องยนต์จะติดเพื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อให้อัตราเร่งที่จัดจ้านส่วนโหมด Sport Plus อันนี้คันเร่งจะไวขึ้น พร้อมรอบที่ตึงกว่าโหมด Sport พร้อมพละกำลังที่มาเต็มเพียงกดคันเร่งเบาๆเท่านั้น

    ช่วงล่างให้ฟิลลิ่งในการขับขี่ใกล้เคียง HS รุ่นน้ำมัน แม้น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นกว่า 200 กก. เช่นเดียวกับพวงมาลัยซึ่งให้น้ำหนักกำลังดี ตามความเร็วและโหมดการขับขี่ ถ้าจะขับสบายๆคล่องตัวโหมด Normal เหมาะที่สุด แต่ถ้าอยากได้ฟิวซิ่งแบบตึงมือ ต้องเลือก โหมด Sport จะตอบโจทย์ได้ดี

    สุดท้ายคือระบบความปลอดภัยเทพเกินค่าตัว ซึ่งมีให้ใช้งานถึง 25 ระบบ ตั้งแต่ระบบควบคุมการขับขี่ 14 ระบบ และระบบป้องกันอุบัติเหตุด้านหน้า 7 ด้านหลังอีก 4 ซึ่งมีการพัฒนาให้ทำงานได้ดีขึ้นจาก HS รุ่นน้ำมันชัดเจน โดยเฉพาะAdaptive Cruise กับ TJA ที่ช่วยให้รถขับตามคันหน้าได้ หยุดตามได้ออกตัวเองได้ แค่คอยเติมคันเร่งตอนออกตัว ถ้าจอดติดนานเกิน 3 วินาที อันนี้ลองแล้วรถติดๆนี่สบายเลย

    5 จุดด้อย MG HS PHEV

    อย่างแรกเลยคือดีไซน์ภายนอกที่ขาดเอกลักษณ์ความเป็นรถรักษ์โลกแบบเสียบปลั้ก ไม่มีจุดใดแสดงถึงอัตลักษณ์ให้แตกต่างจากรุ่นน้ำมันชัดเจน มีเพียงล้อกับโลโก้ PHEV ท้ายรถและฝาปิดช่องชาร์จฝั่งขวาเพิ่มมาเท่านั้น

    ควรจะมีสิ่งทีบ่งบอกความเป็นรถไฮบริดเพิ่มทั้งด้านหน้า/ข้างและหลัง เช่น ไฟหน้าอาจจะเป็นโคมฟ้าเช่นเดียวกับไฟท้าย ด้านข้างควรจะมีโลโก้เล็กๆมาแปะสักนิด จะได้แยกออกว่านี่ รุ่นเสียบปลั๊กนะ

    ภายในตรงจอแสดงผลการทำงานระบบไฮบริด ที่ดูยากไปนิดเพราะไม่มีลูกศรบอกทิศทางการทำงานหรือชาร์จไฟต้องอาศัยดูแนวกระแสไฟที่วิ่งไปกลับเอาเอง

    อีกอย่างคือฝาถังน้ำมันแบบแรงดันนั้นเปิดยาก ต้องเสียเวลารอนาน บางทีก็เปิดไม่ได้ ซึ่งทาง MG แจ้งว่าเป็นเหตุผลเรื่องความปลอดภัย

    เวลาขับด้วยไฟฟ้าเสียงมอเตอร์กับเจเนอเรเตอร์ดังรอดเข้ามาในห้องโดยสารจนรู้สึกรำคาญ อัตราเร่งมีช่วงแร็ค รอจังหวะเปลี่ยนเกียร์จากชุดเกียร์ฝั่งเครื่องยนต์ ข้ามมาเกียร์ฝั่งมอเตอร์ ที่ความเร็วช่วง 60-80 บางทีก็ 120 กม./ชม. ทำให้สะดุดจนเสียจังหวะขณะเร่งแซงได้ ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากเกียร์ 10 สปีด ที่ยังประสานกันได้ไม่ลงตัว

    ท้ายรถเก็บงานได้ไม่ดีนัก ทั้งหม้อพักน้ำ แบตเตอรี่ลูกเล็ก และสายซับวูพเฟอร์ ที่ดูไม่เรียบร้อยนัก เช่นเดียวกับชุดสายชาร์จที่ไม่มีถุงหรือแพ็กเก็ตอะไรใดๆมาให้ใส่ ทำให้วางเกะกะท้ายรถไปหมด

    การชาร์จไฟยังมีปัญหาอยู่บ้างเกี่ยวกับการปลดล็อค/ปิดล็อคประตูขณะชาร์จ ที่บางครั้งรถอาจ งง และไม่ชาร์จให้ ที่สำคัญไม่มีไฟบอกสถานะการชาร์จที่ชัดเจนเหมือนยี่ห้ออื่นที่มักอยู่บนคอนโซลหน้า ส่วน HS PHEV ต้องดูที่หน้าจอหรือไม่ก็ดูจากมือถือ ซึ่งบางทีเราก็อยากเดินมาแล้วเห็นไฟกระพริบที่รถเพื่อให้ได้ล้ำกว่ารถน้ำมันบ้าง

    บทสรุป MG HS PHEV

    สร้างความฮือฮาได้อีกกับรถพลังงานทางเลือกค่าย MG ซึ่งรวมเอาทุกอย่างที่ควรมีมัดรวมไว้ในรถคันเดียว แล้วขายในราคาที่ไม่มีใครกล้าขาย จนทำให้ HS เวอร์ชั่นเสียบปลั๊กได้เปรียบคู่แข่งทั้งญี่ปุ่นและยุโรปทันที เพราะไม่มีทางหารถปลั๊กอินราคานี้ที่ไหนได้แน่นอน MG จึงต้องการเพียงความเชื่อมั่นเพื่อฟันฝ่ากระแสวิพากวิจารณ์ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้พิสูจน์ด้วยยอดขายที่คว้าอันดับ1 มาหลายต่อหลายรุ่นและคราวนี้จะเป็นอีกครั้งที่ผงาดขึ้นแท่นได้หรือไม่นั้น ต้องติดตามกันต่อไปกับ MG HS PHEV คันนี้

     

    MG HS PHEV ราคา : 1,359,000 บาท

    การรับประกัน

    – รับประกันคุณภาพตัวรถ Warranty นาน 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร

    – แบตเตอรี่รับประกันนาน 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

    – ฟรี MG Home Charger มูลค่า 45,000 บาท (สำหรับลูกค้าที่รับรถก่อน 31 ธันวาคม 63)

    – ฟรี ค่าติดตั้ง 20,000 บาท (สำหรับลูกค้าที่รับรถก่อน 31 ธันวาคม 63)

    – บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง

    – Call Centre ติดต่อได้ทุกวัน 24 ชั่วโมง

    – Courtesy Car บริการรถใช้ระหว่างซ่อม ในกรณีเข้าศูนย์บริการเกิน 4 วัน

    – Mobile Service บริการตรวจเช็คเคลื่อนที่นอกสถานที่

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts