More

    รีวิว 5 จุดเด่น/จุดด้อย Honda City e:HEV RS “แพงกว่ารุ่นพันโบ..แสนนึง!! ส่วนที่ต่างต้องแค่ไหน..ถึงจะดึงดูดใจได้มากพอ”

    ถ้าพูดถึงรถซิตี้คาน์ที่ขายดีในบ้านเรา ซื่อของ Honda City จะต้องติดโผมาโดยตลอด และวันนี้เรามีโอกาสได้นำเจ้าNew Honda City e:HEV (ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่) ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล ซิตี้ ที่ขับเคลื่อนแบบ Full Hybrid มาลอฃขับอยู่ 4 วันเต็มๆดูสิว่ามันมีอะไรที่ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบบ้างมและอะไรคือจุดเด่น/จุดด้อยที่สัมผัสได้จากการขับใช้งานจริงบ้าง

    Honda City e:HEV RS ใหม่ (ภาพรวม)

    Exterior : Honda City e:HEV ใหม่ ยังเอกลักษณ์จากรุ่นเครื่องยนต์สันดาปไว้เกือบทั้งหมด และมึเพียงรุ่นเดียวคือรุ่น RS ดังนั้นดีไซน์ภายนอกจึงมาพร้อมกับชุดแต่งสไตล์ RS รอบคัน ตอกย้ำความเป็นไฮบริดด้วยโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า และสัญลักษณ์e:HEV เพิ่มเข้ามาเพื่อแสดงให้รู้ว่าเป็นรุ่นไฮบริด ประสานกับภาพรวมที่หยิบเอาความโดดเด่นมาจากรุ่น 1.0 ลิตร เทอร์โบเดิม เช่น ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED, ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED, ไฟท้ายแบบ LED, กระจังหน้าแบบ Gloss Black พร้อมโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า (H Mark), กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต ปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว, สปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black และ ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต

    Interior : ภายในห้องโดยสารยกดีไซน์มาจากรุ่นเดิม พร้อมให้ความกว้างขวางสะดวกสบาย ครบครันด้วยฟังก์ชันและเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยอันล้ำสมัยที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เบาะที่นั่งหนังกลับดีไซน์สปอร์ต ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง คอนโซลหน้าแบบ Piano Black พร้อมที่วางแก้วน้ำ คอนโซลกลางมาพร้อมที่วางแขนขนาดใหญ่ มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับวางสายโทรศัพท์ พร้อมปุ่มควบคุมการทำงานของระบบ Honda Sening ส่วนก้าน Paddle Shift จะเปลี่ยนเป็นระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ เพิ่มช่องปรับอากาศตอนหลัง เพื่อความสะดวกสบายในห้องโดยสาร มาพร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay
    พร้อม Google Maps และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI ยังคงไว้เหมือนรุ่นเดิม

    Engine&Motor : Honda City e:HEV ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแบบ Full Hybrid ระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม/กิโลเมตรสามารถรองรับน้ำมัน E20

    Safety Feature : ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงได้รับการติดตั้งในรถซิตี้คาร์ของฮอนด้า ด้วยการทำงานของกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ที่ช่วยตรวจจับวัตถุบนท้องถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยแจ้งเตือนผู้ขับขี่และช่วยควบคุมในสถานการณ์การขับขี่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถมากยิ่งขึ้น โดยมีระบบการทำงานดังต่อไปนี้

    • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
    • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
    • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
    • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
    • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

    • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
    • ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
    • ระบบ Brake Hold อัตโนมัติ (Auto Brake Hold)

    ฮอนด้า อี:เอชอีวี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีน้ำเงินออบซิเดียน (มุก) สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก)
    สีขาวแพลทินัม (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) และสีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก)

    ราคา : Honda City e:HEV RS ราคา 839,000 บาท

    นอกจากนี้ ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ยังมาพร้อมการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 10 ปีและรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร สูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็คระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร มาให้อีกด้วย

    5 จุดเด่นใน Honda City e:HEV

    ถ้าจะพูดถึงจุดเด่นใน City ขุมพลังแบบลูกผสมคันนี้ อย่างแรกเลยที่เห็นชัดเจนน่าจะเป็นการเปลี่ยนในส่วนที่อยู่ภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะตรงมาตรวัดและจอ MID  ที่เปลี่ยนจากแบบอนาลอคมาเป็น Digital ขนาด 7 นิ้วนอกจากจะดูทันสมัยขึ้น ยังแสดงผลการทำงานและการปรับตั้งค่าต่างๆได้อย่างละเอียดชัดเจนครบถ้วน

    ไปจนถึงพวงมาลัยมัลติฟังชั่นที่เพิ่มสวิทซ์สำหรับสั่งการะบบ iSensing ที่ฝั่งขวา รวมไปถึงปุ่มปรับตั้งค่าต่างๆแบบเลื่อนขึ้น/ลงที่มีในเฉพาะในตัวไฮบริด ส่วนก้าน paddle shift จากเดิมใช้เปลี่ยนอัตราทดเกียร์มาเป็นการเพิ่มแรงหน่วงแทน

    อีกอย่างคือคันนี้เปลี่ยนจากเบรกมือธรรมดามาเป็นแบบไฟฟ้าพร้อม Auto Hold แล้ว พร้อมด้วยเกียร์ที่มีตำแหน่ง B เพิ่มมา รวมถึงช่องแอร์ตอนหลังก็มีมาให้เช่นกัน เบาะหลังจะมีช่องระบายความร้อนแบตเตอรี่ด้านข้างของเบาะหลังฝั่งคนขับ ซึ่งจะมีเฉพาะตัวไฮบริดเท่านั้น

    ส่วนในด้านของอัตราเร่งนั้น..ถือว่าจัดจ้านขึ้นกว่ารุ่นพันโบ ด้วยขุมพลัง 1.5 ลิตร ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวนึงใช้ในการขับเคลื่อนอีกตัวเป็น Generator ไว้สร้างกระแสไฟ ที่ให้พละกำลังสูงสุด 109 แรงม้า พร้อมแรงบิด253 นิวตันเมตร ที่สูงกว่ารถเครื่องพันห้าปกติเป็นเท่าตัว และส่งกำลังผ่านเกียร์ e-CVT ลงสู่ล้อคู่หน้า

    ซึ่งหลักการทำงานของระบบไฮบริดใน City e:HEV ก็จะเหมือนกับตัวแอคคอร์ดแต่ย่อไซส์ลงมา คือช่วงออกตัวไปช้าๆรถจะขับด้วยไฟฟ้า แต่ถ้าเพิ่มความเร็วเครื่องยนต์จะติดเป็นไฮบริด ถ้าขับความเร็วปานกลางระบบจะสลับขับด้วยไฟฟ้าและแบบไฮบริดตามปริมาณแบตฯที่เหลือ ส่วนจังหวะหวะเร่งแซงจะมาเต็มทั้งเครื่องและมอเตอร์แต่ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงจะขับด้วยเครื่องยนต์สลับกับไฟฟ้าล้วน ขึ้นอยู่กับปริมาณแบตเตอรี่ และตอนชะลอความเร็วก็จะชาร์จไฟกลับเหมือนรถไฮบริดทั่วไป

    ส่งผลให้ City e:HEV ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลาได้แถว 10-11 วินาที แม้ช่วงออกตัวเหมือนจะขอเวลาคิดเล็กน้อย แต่ถ้ากดสุดลากยาว สามารถไต่ไปได้กว่า 182 กม./ชม.ได้ไม่ยาก ที่สำคัญคือมันยังวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนที่ความเร็วเป็นร้อยได้ ในกรณีที่ไฟในแบตมากพอ แต่ต้องเดินคันเร่งแบบเนียนๆนิดนึง

    ที่สำคัญไปกว่าความแรง คือคันนี้ประหยัดสุดๆของจริง ซึ่งจากที่ได้ลองขับใช้งานอยู่ 4 วัน ทั่งลองอัตราเร่ง ขับใช้งานปกติอยู่ 4 วันเต็ม เจอทั้งรถติด เจอทั้งรถโล่งขับชิล ระยะทางกว่า 400 กม. น้ำมันหมดไปแต่ครึ่งถัง กินน้ำเฉลี่ยอยู่ประมาณ 24-25 กม./ลิตร ซึ่งทางโรงงานเคลมไว้ 27.8 วิ่งจริงได้ขนาดนี้ถือว่าเจ๋งมาก นอกจากนี้ในรุ่น e:HEV นั้นมีอาการสั่นของเครื่องน้อยกว่ารุ่นเดิมเครื่อง 3 สูบ อย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย

    จุดเด่นถัดมาที่ไม่มีในรุ่นเดิมนั่นคือระบบความปลอดภัย ซึ่งคันนี้ได้เพิ่มดิสก์เบรกหลังมาให้ รวมถึงระบบความปลอดภัย iSensing ตั้งแต่ Honda len watch ที่จะแสดงภาพในจุดอับสายตาฝั่งซ้ายให้เราได้เห็นจากหน้าจอกลางระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมช่วยเบรก ซึ่งลองแล้วทั้งคนทั่งรถ คันนี้เบรกให้จริงที่ความเร็ว 5-100 กม./. ระบบล็อคความเร็วแบบแปรผันรวมไปถึงระบบช่วยประคองให้อยู่ใน่องเลนคันนี้มีหมด ที่สำคัญมีระบบเสียงสังเคราะห์สำหรับให้คนเดินถนนได้ยินในกรณี่ที่เราขับแบบ EV อยู่ ซึ่งมีปุ่มเปิด/ปิดมาให้ด้วยสำหรับคันนี้

    5 จุดด้อยใน Honda City e:HEV

    จะเห็นว่าในช่วงต้นคลิปไม่ได้การพูดถึงดีไซน์ภายนอกแม้แต่ นั่นเป็นเพราะในรุ่น e:HEV แทบจะไม่แตกต่างจากตัวcity turbo rs เลย มีเพียงโลโก้ตัว H ด้านหน้าสีฟ้า

    กับสัญลักษณ์ e:HEV ที่ตัวเล็กมากตรงฝาท้ายข้างป้าย RS เท่านั้นอย่างอื่นเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้ายแบบ LED ชุดพาร์ท ตลอดจนถึงล้อแม็กยังเป็นลายเดียวกัน ขับไปไหนถ้าไม่สังเกตุจะคิดว่าเป็นรุ่นเดิม

    ภายในถึงแม้จะดูทันสมัยขึ้นด้วยหน้าจอ แต่ภาพรวมยังคงเหมือนรุ่นเดิมกว่า 80% เสียอย่างเดียวตรงที่เก็บของท้ายรถนั้นแคบลงเพราะแบ่งพื้นที่ไปเก็บแบตเตอรี่ทำให้ใส่ของได้น้อยลงกว่าเดิม

    ต่อมาในด้านของการขับขี่นั้น ถ้าพูดถึงการขับด้วยไฟฟ้าล้วนคันนนี้มีแบตเตอรี่ที่เล็กเพียง 1 kwh เท่านั้น จึงทำให้มีโอกาสในการขับแบบ ev มีไม่มาก ส่วนใหญ่เครื่องยนต์จะติดขึ้นเพื่อช่วยปั่นกระแสไฟเข้าไปเก็บยังแบตเตอรี่ และช่วยเพิ่มกำลังในการขับขี่แทบจะตลอดเวลา มีเพียงแค่ช่วงขับในซอยออกจากบ้าน หรือจังหวะที่เราขับทางไกลๆแล้วแบตเตอรี่อยู่ในระดับสูง ตรงนี้ก็สามารถขับด้วยไฟฟ้ายาวขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง

    อีกอย่างคือในจังหวะที่เครื่องยนต์ติดขึ้นนั้นมีอาการกระตุกค่อนข้างแรงจนรู้สึกตกใจ รวมถึงเสียงเครื่องที่ดังลอดเข้ามาในห้องโดยสารจนรู้สึกรำคาญอยู่พอสมควรในช่วงแรก แต่ขับไปเลื่อยๆก็เริ่มชิน

    ประกอบกับแฮนลิ่งในการขับขี่ จากช่วงล่างแบบเดียวกันตัวซีดานแต่มีน้ำหนักเพิ่มมา 62 กก.นั้น ที่ความเร็วต่ำจะรู้สึกว่าช่วงล่างด้านหลังแข็งไปนิด เวลาขับผ่านลูกระนาดหรือถนนไม่เรียบ ประกอบกับช่วงที่วิ่งเกิน 140 กม./ชม. ตัวรถจะรู้สึกมีอาการหวิวๆลอยๆเริ่มไม่เกาะเท่าที่ควรทำเอาเสียวอยู่เหมือนกัน

    สุดท้ายคือเรื่องระบบความปลอดภัย ซึ่งคันนเพิ่ม iSening มาก็จริง แต่ก็ยังมาไม่หมด เช่น adaptive cruise ยังทำงานได้ถึงแค่ 30 กม./ชม. ไม่เป็น stop&go กระจกมองข้างฝั่งขวาคิดว่าใกล้ตัวไม่ต้องมี lan watch แต่ก็ควรจะมี blind spot มาให้ก็ยังดี ที่สำคัญไอ้สิ่งเล็กๆอย่างกระจกพับอัตโนมัติเมื่อล็อคประตู อันนี้ก็น่าจะมีมาให้สักหน่อยจะได้ไม่ต้องไปหาซื้อกล่องมาติดเพิ่มคุณว่ามะ

    บทสรุป Honda City e:HEV

    ทั้งหมดที่ว่ามาใน Honda City ไฮบริดที่ค่าตัวแพงกว่ารุ่น City Turbo RS ตัว 4 ประตูอยู่แสนถ้วนๆ จาก 7.39 เป็น 8.39 แสนบาท ถ้าพูดถึงสิ่งที่คิดคุ้มแน่นอนว่ามันประหยัดสุดจนต้องปรบมือให้ กับสมรรถนะที่ขับได้สนุกสนานเกินตัว ส่วนisensing อาจยังดูขาดๆเกินๆไปบ้างคิดเสียว่ามีดีกว่าไม่มี ติดอยู่อย่างเดียวถ้าคุณต้องการความโดดเด่น คันนี้คงไม่ตอบโจทย์แน่นอน ฉะนั้นคุณต้องเลือกเอาว่าส่วนต่างที่จ่ายเพิ่มมันตอบโจทย์คุณมากน้อยแค่นั้น ตรงนี้มีแค่คุณเท่านั้นที่รู้

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts